ภาพรวมตลาดและหุ้น Health and Beauty มีการเติบโตเป็นตัวเลข “สองหลัก” ทุกๆ ปี !และยังมีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเทรนด์ของสังคมในยุคปัจจุบันที่คนมีอายุมากขึ้น (Aging Society) อายุยืนขึ้น
โดยเฉพาะตลาดที่เกี่ยวข้องกับ “คลีนิกเวชศาสตร์ความงาม”(Aesthetics Clinic) อย่างเดียว ไม่รวมการขายครีมปัจจุบันมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และคาด5-7 ปีข้างหน้าจะเติบโตเป็น “2 เท่า” หรือ มูลค่า1.2 แสนล้านบาท
ปัจจัยบวกดังกล่าว กำลังจะส่งผลดี ไอพีโอ น้องใหม่ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ หนึ่งในผู้นำในธุรกิจเสริมความงามแบบองค์รวม (Wellness & Regenerative Medicine) ภายใต้แบรนด์“เดอะคลีนิกค์” (THE KLINIQUE)ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคา24.50 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Mai) 7 พ.ย. 2565
“นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” จุดเด่นของบริษัทคือ “เป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้” การเติบโตที่ผ่านมาด้วยกระแสเงินสดในมือมาก (Cash Rich) ล้วนๆ ดังนั้น การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นครั้งนี้ !! เพื่อต้องการสร้างการเติบโตก้าวกระโดดครั้งใหม่…
สะท้อนผ่าน เงินระดมทุนเพื่อรองรับ “ขยายสาขาคลินิกผิวหนังและรูปร่าง The KLINIQUE” เฉลี่ย 6-10 สาขาต่อปี รวมถึง “ขยายพื้นที่หรือเปิดสาขาศูนย์ศัลยกรรม” เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันศูนย์ศัลยกรรมของ The KLINIQUE ที่สยามสแควร์มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมากกว่า 50% ของการให้บริการที่รองรับ และ “การเปิดศูนย์สุขภาพ” (Wellness Center)อีกทั้งยังมีการใช้พัฒนาระบบไอที และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
นายแพทย์อภิรุจ กล่าวว่า การวางแผนธุรกิจของ KLINIQ มุ่งเป้าไปที่การเป็น Health and Beauty Destination ด้านความงามครบวงจรชั้นนำของประเทศ โดยที่จะเน้นการให้บริการ 4 ด้าน โดยที่ 2 บริการที่เป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทกว่า 70-80% คือ การรักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง (Aesthetics Skin) การรักษาดูแลรักษารูปร่าง (Aesthetics Body)
โดยที่บริการด้าน Aesthetics Skin ถือเป็นหนึ่งบริการของ The KLINIQUE ที่สามารถสร้าง “รายได้ประจำ” (Recurring Income)ให้แก่บริษัท และบริการด้านการฉายแสงเลเซอร์เพื่อดูแลผิวพรรณ ยังเป็นโปรแกรมการรักษาที่ให้มาร์จินสูง และสามารถต่อยอดธุรกิจในการส่งผ่านลูกค้าที่มีความต้องการด้านความงามและสุขภาพ ไปยังบริการศัลยกรรม และ Wellness ที่เสริมเข้ามาอย่างครบวงจร และเชื่อว่าคนยังคงให้ความสำคัญกับความงามและสุขภาพมากขึ้น
ขณะที่ยังมีอีก 2 บริการที่จะเข้ามาเป็นการต่อยอดธุรกิจ คือ การศัลยกรรมโดยการผ่าตัด (Surgery) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 5-10% โดยเพิ่งเปิดศูนย์ศัลกรรมที่สยามสแควร์ พื้นที่ 700 ตารางเมตร จำนวน 4 ห้องผ่าตัด 4 เตียง และในช่วงปลายปี 65 เตรียมเปิดบริการด้านสุขภาพ (Wellness) โดยจะมีการเปิดศูนย์ Wellness ของ The KLINIQUE ที่สยามพารากอน ที่จะเข้ามาเสริมและต่อยอดธุรกิจ
สำหรับ รูปแบบการรักษาของ The KLINIQUE ถือเป็น “จุดเด่น” ที่สร้างความแตกต่างและเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด จากการให้ความสำคัญเรื่องเครื่องมือ อุปกรณ์ และคุณภาพการรักษา ด้วยยาและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสหรัฐ ซึ่งเน้นประสิทธิภาพการรักษาที่เห็นผลชัดเจน ควบคู่ไปกับการบริการที่เทียบเท่ากับการบริการของโรงแรมระดับ 5 ดาว
“ข้อสำคัญของเราคือ บุคคลากรและเทคโนโลยี ที่เรามีการคัดเลือก มีระบบการเทรนนิ่งที่ดี เพื่อให้การรักษาและการบริการแก่ลูกค้าที่ให้ประสบการณ์ดีที่สุดเครื่องมือแพทย์ที่เราเลือก ปกติหลาย ๆ ที่จะผ่านอย.ประเทศไทย แต่เราเน้นอย.สหรัฐ เพราะเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ ทำให้เรามั่นใจได้ว่าลูกค้ามาใช้บริการที่เรา เมื่อเทียบกับรายอื่นจะไม่เจอยาและเครื่องมือที่ดีกว่านี้แล้ว”
ท้ายสุด “นายแพทย์อภิรุจ”บอกไว้ว่า เราต้องการเป็น Hospital Standard เราไม่ต้องการแข่งขันกับมาตรฐานคลินิกทั่วไป เราแข่งขันกับมาตรฐานของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ รวมถึงบุคคลกรต่าง ๆ ของเรา