ทรัมป์ 2.0: 100 วันแรกแห่งการปฏิวัติเศรษฐกิจโลกด้วยสงครามภาษี

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2025 วันที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่สอง โลกเศรษฐกิจได้เผชิญกับความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ หลังจากที่ทรัมป์ได้ทำตามคำมั่นสัญญาในการรณรงค์หาเสียงด้วยการเดินหน้านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) อย่างไม่ลังเล ภายในเวลาเพียง 100 วันแรกของการบริหาร เขาได้เขย่าระเบียบเศรษฐกิจโลกจนถึงแก่นด้วยการเปิดฉากสงครามการค้าที่ดุเดือดกว่าครั้งใดๆ

การถอนตัวจากความตกลงระหว่างประเทศ: สัญญาณแรกแห่งความรุนแรง

วันแรกในทำเนียบขาว ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารสองฉบับสำคัญที่ส่งสัญญาณถึงทิศทางการต่างประเทศแบบแข็งกร้าวทันที คำสั่งฝ่ายบริหาร 14162 ประกาศให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศอื่นๆ ทั้งหมด ส่วนคำสั่งฝ่ายบริหาร 14155 กำหนดให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างเป็นทางการ การตัดสินใจเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายชาตินิยมอย่างสุดขั้ว โดยไม่สนใจกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติ

สงครามภาษี: มาตรการทางเศรษฐกิจที่สั่นคลอนโลก

เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ได้จุดชนวนสงครามการค้าครั้งใหม่ที่รุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 เขาลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารสามฉบับที่กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาที่ 25% และสินค้าจากจีนที่ 10% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 แม้ว่าจะมีการเจรจาขอเลื่อนการใช้มาตรการออกไปจากผู้นำเม็กซิโกและแคนาดา แต่สุดท้ายมาตรการดังกล่าวก็มีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มีนาคม 2025 นำไปสู่การตอบโต้ทันทีจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ

จุดเดือดที่แท้จริงของสงครามการค้าเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2025 เมื่อทรัมป์ประกาศนโยบายที่เขาเรียกว่า “วันปลดแอก” (Liberation Day) กำหนดภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกชนิดจากทั่วโลก และเพิ่มภาษีพิเศษสำหรับสินค้าจาก 57 ประเทศ ซึ่งรวมถึงไทยที่ถูกขึ้นภาษีสินค้าส่งออกในอัตราสูงถึง 36% มาตรการนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงทันที โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองสูญเสียมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาอันรวดเร็ว

การกดดันจีน: จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของสงครามการค้า

ท่ามกลางแรงกดดันจากทั่วโลก ในวันที่ 9 เมษายน 2025 ทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้าสำหรับประเทศส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2025 แต่มาตรการผ่อนปรนนี้ไม่ครอบคลุมถึงจีน ซึ่งยังคงเผชิญกับภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นถึง 145% เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าจีนคือเป้าหมายหลักในสงครามการค้าครั้งนี้

ความรุนแรงของมาตรการต่อจีนถูกตอกย้ำอีกครั้งในวันที่ 15 เมษายน 2025 เมื่อทำเนียบขาวเผยแพร่ Fact Sheet เกี่ยวกับการสอบสวนแร่สำคัญภายใต้มาตรา 232 ระบุว่าภาษีนำเข้าที่จีนเผชิญอาจสูงถึง 245% ซึ่งเกิดจากการซ้อนทับกันของหลายมาตรการภาษี ได้แก่:

  • ภาษีฐาน 10% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากทั่วโลก
  • ภาษีตอบโต้ 125% เฉพาะสำหรับสินค้าจากจีน
  • ภาษีพิเศษ 20% จากปัญหาเฟนทานิล
  • ภาษีตามกฎหมาย Trade Act มาตรา 301 ซึ่งมีอัตราตั้งแต่ 7.5% ถึง 100% ตามประเภทสินค้า

การตอบโต้จากทั่วโลก: ทุกประเทศไม่มีใครยอมถอย

การตอบโต้จากนานาชาติมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงไม่แพ้กัน จีนประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี 125% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกแร่หายากที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง สร้างความวิตกกังวลอย่างมากแก่บริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน

แคนาดาและเม็กซิโกตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ และจำกัดการนำเข้าสินค้าบางประเภท ส่วนสหภาพยุโรปพยายามเสนอข้อตกลง “ภาษีศูนย์ต่อศูนย์” สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม แต่เมื่อการเจรจาล้มเหลว จึงประกาศมาตรการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 21 พันล้านยูโร

ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์: การเปลี่ยนแปลงของพันธมิตรโลก

นอกเหนือจากสงครามการค้า ทรัมป์ยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศอย่างฉับพลัน โดยถอนการสนับสนุนยูเครนในสงครามกับรัสเซีย พร้อมเสนอแผนสันติภาพ 7 ข้อ แม้ว่าจะยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

ในตะวันออกกลาง สหรัฐฯ ดำเนินการโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มตัวแทนของอิหร่าน และขู่ว่าจะมีการดำเนินการเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น ขณะเดียวกันก็มีความพยายามในการรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านในรูปแบบใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ: ราคาที่ต้องจ่าย

มาตรการภาษีที่รุนแรงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลก หลายประเทศเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากที่ต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งกำลังเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และญี่ปุ่น ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจทางเลือกใหม่

แม้แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามภาษีครั้งนี้ได้ อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นจาก 2.5% เป็น 27% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 100 ปี ทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก นำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงและเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สูญเสียมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีและทิศทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

บทสรุป: อนาคตที่ไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

100 วันแรกของการบริหารประเทศสมัยที่สองของทรัมป์ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ในขณะที่ทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้จะนำไปสู่การเจรจาและข้อตกลงที่เป็นธรรมมากขึ้นในระยะยาว นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่กลับเตือนว่าสงครามการค้าที่รุนแรงและยืดเยื้อจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพาการส่งออก

ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งเดียวที่แน่นอนในเวทีการค้าโลกขณะนี้ ทุกประเทศกำลังปรับตัวและหาทางรับมือกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น ขณะที่นักลงทุนและภาคธุรกิจทั่วโลกต่างเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หวังว่าจะมีทางออกที่นำไปสู่เสถียรภาพอีกครั้ง หรือว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่แห่งการปกป้องทางการค้า (protectionism) ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจโลกไปอย่างถาวร